

“คำตอบจากรัฐ” กับ “คำถามจากชุมชน”
ความผันผวนของลำน้ำโขง
และปัญหาการพังทลายของตลิ่งที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำ
กำลังก่อผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจำนวนมากใน 8 จังหวัดของไทย
ส่งผลให้รัฐบาลใช้งบประมาณมากกว่า
30,000,000,000 ฿
ไปกับโครงการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
งบมหาศาลที่ถูกเทลงไป
ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนริมโขงอย่างไรบ้าง
และคุ้มค่าหรือไม่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้กลับมา


ถือเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิต
ผู้คนใน 8 จังหวัด ริมแม่น้ำ
ทั้งหมดถึง 958 กิโลเมตร
ประวัติศาสตร์และ
วิถีชีวิตของคนไทยที่เกี่ยวโยงและพึ่งพา
“แม่น้ำโขง”


การคมนาคม

เส้นทางค้าขาย

การประมง

เกษตรริมน้ำ

เส้นแบ่งพรมแดน
ธรรมชาติ

แต่หลายสิบปีที่ผ่านมา
โฉมหน้าของแม่น้ำสายนี้ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป
ปัจจัยหลักมาจากฝีมือมนุษย์
การสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า
ในลำน้ำโขงตั้งแต่ลุ่มน้ำตอนบนอย่างจีน และสปป.ลาว ลงมาถึง ลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่ก่อ ผลกระทบทำให้ระดับน้ำเกิดความผันผวน
หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่เกิดจากความผันผวน ของระดับน้ำในแม่น้ำโขง
นอกจากสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อชีวิตของชุมชนริมแม่น้ำคือ
พื้นที่ริมตลิ่งที่พังทลายจากการถูกน้ำกัดเซาะ
ขณะที่การคุกคามทรัพยากรธรรมชาติในแม่น้ำเช่น การทำเหมืองดูดทรายในแม่น้ำเพื่อนำไปขายทั้งแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ซ้ำเติมการพังทลายของตลิ่งให้รุนแรงและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ด้านความมั่นคง
การสูญเสียดินแดนหลายตารางกิโลเมตร
ผลการศึกษาจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพบว่า ตั้งแต่ปี 2535-2561 พื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขง 8 จังหวัด ของไทย ถูกกัดเซาะหายไปกว่า 220 ตารางกิโลเมตร ตลอดแนวชายฝั่ง โดยช่วงปี 2546-2552 ซึ่งตรงกับช่วงที่เขื่อนจิ่งหงในจีนเปิดใช้งาน เป็นช่วงเวลาที่ตลิ่งริมแม่น้ำโขงพังทลายมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2530 รัฐบาลไทยพยายามแก้ไขปัญหา พื้นที่ริมตลิ่งอย่างต่อเนื่อง โดยงบประมาณกว่า 40,000 ล้าน ถูกใช้ไปกับโครงการที่แทบจะเป็น แนวทางแก้ปัญหาเพียงวิธีเดียว คือการก่อสร้าง ‘เขื่อนป้องกันตลิ่ง’ ในจังหวัดต่างๆ ซึ่งยังคงมี การก่อสร้างมาจนถึงปัจจุบันคือ ‘เหตุผล’ และ ‘ความคุ้มค่า’
ในการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง
นอกเหนือจากเพื่อปกป้องอธิปไตยริมแม่น้ำโขงไม่ให้หายไป
การทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับโครงการเหล่านี้
ได้มีการคำนึงถึงผลกระทบในมิติอื่นๆ ที่ต้องแลกมาหรือไม่?
เช่น การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชุมชนที่อาศัยตลิ่งริมโขงเลี้ยงชีพมายาวนาน
และภาครัฐมีความพยายามบ้างหรือไม่ ที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้
โดยไม่ทอดทิ้งผู้คนบางกลุ่มที่ยึดโยง ‘ชีวิต’ ไว้กับสายน้ำโขง

ความเดือดร้อนของผู้คน
ที่ทำมาหากินริมโขง
ปัจจุบันเขื่อนในแม่น้ำโขงมีทั้งหมด 22 เขื่อน
ที่สร้างบนแม่น้ำสายหลักที่ไหลมาตามแม่น้ำ
ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน
มีทั้งเขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วและกำลังก่อสร้าง
การกักเก็บน้ำของเขื่อนต่าง ๆ ส่งผลอย่างชัดเจนต่อ ‘ปริมาณน้ำ’ ที่ไหลมาตามแม่น้ำ
และทำให้การเพิ่มหรือลดของระดับน้ำในบางฤดูกาล ‘ไม่สอดคล้อง’ กับธรรมชาติเช่น ในช่วงฤดูแล้งก็อาจมีปริมาณน้ำมากได้หรือในช่วงฤดูฝนก็อาจจะมีน้ำน้อยได้
ทั้งยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทิศทางการไหลของแม่น้ำอีกด้วย
ภาพถ่ายดาวเทียมจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA
แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เกิดขึ้นกับลำน้ำโขงในพื้นที่บริเวณจังหวัดหนองคาย ระหว่างปี 2017 กับ 2023
ข้อมูลวิจัย ‘การลดลงอย่างรวดเร็วของทรัพยากรน้ำผิวดินเพื่อการเกษตรและการประมงในลุ่มน้ำโขงตอนล่างช่วงปี 2000–2020’
โดยทีมนักวิจัยชาวฝรั่งเศสที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ sciencedirect.com ซึ่งใช้วิธีการวิเคราะห์จากดาวเทียมหลายดวง
ในการประเมินความแปรผันของการกักเก็บน้ำผิวดินและเชื่อมโยงความแปรผันเหล่านี้กับปัจจัยจากสภาพภูมิอากาศ
และปัจจัยที่เกิดจากมนุษย์ทั่วทั้งลุ่มน้ำโขง ซึ่งรวมถึงเขื่อนกักเก็บน้ำต่าง ๆ
พบว่า การดำเนินงานของเขื่อนส่งผลต่อความผันผวนของระดับน้ำในแม่น้ำโขงอย่างมาก
โดยพบว่าขอบเขตของน้ำท่วมตามฤดูกาลลดลง 55% (จาก 3,178 ตารางกิโลเมตร เป็น 1,414 ตารางกิโลเมตร)
และปริมาณน้ำผิวดินลดลงถึง 70% (จาก 1,109 ตารางกิโลเมตร เป็น 327 ตารางกิโลเมตร) ในช่วงปี 2000–2020
ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคเกษตรกรรมและการทำประมงในแม่น้ำโขง
ในขณะที่ข้อมูลระดับน้ำจากเว็บไซต์ฐานข้อมูลคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC)
ก็แสดงให้เห็นถึงความผันผวนอย่างชัดเจนของระดับน้ำในลำน้ำโขงบริเวณจังหวัดหนองคาย ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงอันผิดปกติซึ่งมีที่มาจากเขื่อนกักเก็บน้ำดังกล่าว
วิกฤตน้ำผันผวนในแม่น้ำโขง
ยังนำมาซึ่งภัยพิบัติมากมายจนถึงปัจจุบัน

ปัญหาที่รุนแรงจากภาวะความผันผวนในแม่น้ำโขง
และการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งทำลายเกาะแก่ง ทำเหมืองดูดทราย
จนนำมาซึ่งการกัดเซาะและพังทลายของตลิ่งริมแม่น้ำ เป็นเหตุผลสำคัญ
ที่ทำให้มีการเทงบประมาณ ‘มหาศาล’
เพื่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา
ปัจจัยสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง
จากการวิเคราะห์และเจาะลึกข้อมูลรายงานข่าวสืบสวน ด้วยข้อมูลเชิงลึก (Data Journalism for Investigative
Reporting) ที่จัดทำโดยทีมอาสาสมัคร ชมรมเครือข่ายนักสื่อสารข้อมูลเชิงลึกแห่งประเทศไทย (TDJ) พบว่า
ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยใช้งบประมาณ กว่า 40,000 ล้านบาท กับการสร้างเขื่อนป้องกัน ตลิ่งในฐานะ
‘ทางเลือกหลัก’ โดยเฉพาะในช่วงปี 2558 ถึง 2567ที่มีโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง กว่า 500
โครงการใน 92 ตำบล ทั่ว 8 จังหวัดริมโขง
ข้อมูลภาพรวมของโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง
ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกในรูปแบบแผนที่
แสดงงบประมาณการก่อสร้างและซ่อมบำรุงเขื่อน
ป้องกันตลิ่งแม่น้ำโขง ตามองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่
มีการสร้างพื้นที่โครงการ และมีการคำนวณค่าใช้จ่าย
รายกิโลเมตรเบื้องต้นเพื่อสะท้อนให้เห็นขนาดของ
โครงสร้าง ‘เมกะโปรเจกต์ ล่องหน’
ซึ่งในอนาคต จะผูกพันงบประมาณของประเทศไทยเป็น จำนวนมหาศาล
ปี 2556 โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงชุดแรก
ถูกประกาศออกมา 7 โครงการ กินพื้นที่ 5 อำเภอ
ในจังหวัดนครพนมและบึงกาฬ ได้แก่ อำเภอเมือง, อำเภอท่าอุเทน, อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม รวมถึงอำเภอบึงโขงหลง และอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดบึงกาฬ
ฐานข้อมูล ‘ภาษีไปไหน’ ที่นำเสนอระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ ระบุว่าตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา
มีการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งกว่า528 โครงการในพื้นที่ 92 ตำบล รวมเป็นเงิน 40,162,071,758 บาท
โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมดคือกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย
1,675,205,600 บาท
~ 133,147 บาท/เมตร
ตำบลบุฮม, อำเภอเชียงคาน
จังหวัดเลย
(จำนวน 20 โครงการ)
ความยาวครอบคลุม 29.63/29.63 km
ทำไปแล้ว 0 %
*ความยาวของตลิ่งทั้งหมด วัดผ่าน Google Map
1,487,093,500 บาท
~ 130,007.05 บาท/เมตร
ตำบลหนองเดิ่น, อำเภอบุ่งคล้า
จังหวัดบึงกาฬ
(จำนวน 14 โครงการ)
ความยาวครอบคลุม 15.32/15.32 km
ทำไปแล้ว 0 %
*ความยาวของตลิ่งทั้งหมด วัดผ่าน Google Map
1,365,055,350 บาท
~ 110,310.37 บาท/เมตร
ตำบลริมโขง, อำเภอเชียงของ
จังหวัดเชียงราย
(จำนวน 14 โครงการ)
ความยาวครอบคลุม 21.42/21.42 km
ทำไปแล้ว 0 %
*ความยาวของตลิ่งทั้งหมด วัดผ่าน Google Map
1,207,398,890 บาท
~ 120,004.46 บาท/เมตร
ตำบลบึงกาฬ, อำเภอเมืองบึงกาฬ
จังหวัดบึงกาฬ
(จำนวน 12 โครงการ)
ความยาวครอบคลุม 11.99/11.99 km
ทำไปแล้ว 0 %
*ความยาวของตลิ่งทั้งหมด วัดผ่าน Google Map
1,160,099,000 บาท
~ 126,022.08 บาท/เมตร
ตำบลท่าดอกคำ, อำเภอบึงโขงหลง
จังหวัดบึงกาฬ
(จำนวน 11 โครงการ)
ความยาวครอบคลุม 14.62/14.62 km
ทำไปแล้ว 0 %
*ความยาวของตลิ่งทั้งหมด วัดผ่าน Google Map
เมื่อจัดอันดับ 5 พื้นที่ซึ่งได้รับงบประมาณสร้างเขื่อนกันตลิ่งสูงสุด มีพื้นที่ของจังหวัดบึงกาฬติดอันดับไปแล้ว 3 แห่งด้วยกัน คือ
ตำบลหนองเดิ่น (1,487,093,500 บาท) ตำบลบึงกาฬ (1,207,398,890 บาท) และตำบลท่าดอกคำ (1,160,099,000 บาท)
ส่วนความครอบคลุมของโครงการริมตลิ่งแม่น้ำโขงของจังหวัดบึงกาฬพบว่า
ความยาวของโครงการกินความยาวของตลิ่งเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ทั้ง 3 แห่ง
ทั้งนี้ บริเวณพื้นที่ดังกล่าว อยู่ในจุด ‘ไข่แดง’ ของจังหวัดบึงกาฬ
เหตุผลในการสร้างเขื่อนกั้นตลิ่งที่หลากหลายถูกหยิบยกขึ้นมามากว่าวัตถุประสงค์ในการป้อง
กันพื้นที่จากระดับน้ำที่ผันผวน
ปี 2563 ทรงศักดิ์ ทองศรี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยภายใต้รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กล่าวระหว่างการเยี่ยมชมพื้นที่ว่า การก่อสร้างในบริเวณดังกล่าว มีเจตจำนงจะให้เป็น
“แลนด์มาร์ก”
“พื้นที่ดังกล่าวจะทำให้จังหวัดบึงกาฬมีชื่อเสียงในระดับประเทศ
และเป็นแหล่งการค้าการลงทุนที่เชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคอินโดจีน”
มติชนบรรยายน่าสังเกตว่าพื้นที่ที่ได้รับ งบประมาณ “จำนวนมาก”
เช่นพื้นที่ตำบลบุฮม อ.เชียงคาน จ.เลย หรือ
พื้นที่ตำบลหนองเดิ่น อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ
ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญในฐานะพื้นที่ท่องเที่ยว
กลับได้รับงบประมาณสูงถึงเมตรละ 1.6 พันล้านบาท
และ 1.4 พันล้านบาทตามลำดับ

เจาะเข้าไปจากจำนวน 4 หมื่นล้านบาทแล้วจะพบว่าคิดเป็นงบประมาณได้ดังนี้
39,986,534,971 บาท
งบประมาณในการ “สร้าง”

175,536,787 บาท
งบประมาณในการ “ซ่อม”
ตัวเลขการซ่อมแซมนี้อาจยังดูไม่สูงมากนัก
แต่ก็มากพอที่จะทำให้นักวิชาการเริ่มกังวลถึงค่าบำรุงรักษาเขื่อนที่ได้มีการสร้างไปแล้ว
เนื่องจากมีแนวโน้มว่างบประมาณส่อ “บวม” ขึ้นในอนาคต

แม้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่สิ่งที่น่ากังวลหลังเกิดความเสียหายคือ “ค่าซ่อมแซม”
เขาเผยว่า กรณีคล้ายกันนี้ เคยพบที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งเกิดการพังทลายของเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง เนื่องจากมีน้ำจากภูเขาไหลลงมาทะลักมาทางใต้ดินและทะลุตัวเขื่อนออกไปจนทำให้เขื่อนป้องกันตลิ่งทรุดและใช้งานไม่ได้ โดยคาดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากการนำแบบมาตรฐานในการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งมาทำ แต่ไม่ได้เห็นหน้างานจริงเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ผศ. อมเรศ ชี้ว่างบประมาณในการซ่อมแซมนั้น “สูงกว่า”การก่อสร้างใหม่มาก โดยเขาชี้ว่า “น่าจะไม่ต่ำกว่า 2 หรือ 3 เท่า”

วิถีชีวิตดั้งเดิมและสภาพภูมิทัศน์ของชุมชนริมโขง
ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ริมแม่น้ำโขง ใน 4 ด้าน ได้แก่


ช่วงฤดูฝน
ระดับน้ำจะสูงขึ้นและพัดพาตะกอนดินที่อุดมสมบูรณ์มาจากตอนเหนือ เช่น จาก สปป.ลาว ภาคเหนือของไทย และจีนตอนใต้ มาทับถมบริเวณตลิ่ง ทำให้ดินมีแร่ธาตุเพิ่มขึ้น

ช่วงฤดูหนาว
เมื่อน้ำลดลงในช่วงฤดูหนาว ชาวบ้านจะใช้พื้นที่ริมตลิ่งที่มีดินอุดม สมบูรณ์นี้ทำการเพาะปลูกพืชผัก เพื่อบริโภคในครัวเรือน และจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้

ทำให้น้ำไม่ไหลเร็ว แต่พอกลายเป็นอะไรที่มันดาดแข็ง
มันทำให้กระแสน้ำเกิดการชิ่งและน้ำก็จะไหลเร็วขึ้นเยอะ ”

Picture credit : Pai Deetes
“ เทศบาลเขามาเคลมว่า พื้นที่นี้จะถูกทำเป็นสวนสาธารณะ
ชาวบ้านเลยทำการเกษตรริมน้ำ ไม่ได้ สูญเสียอาชีพไปเลย
โดยไม่สามารถจะทำอะไรได้ แล้วเขาก็กลายเป็นคนจน ”
เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้องค์กรแม่น้ำ นานาชาติ (International Rivers) ยกตัวอย่างความยากจนของประชาชนริมแม่น้ำโขง ในจังหวัดเชียงรายหลังหน่วยงานภาครัฐดำเนินการสร้างสวนสาธารณะ ริมแม่น้ำโขงซึ่งมีคุณสมบัติส่วนหนึ่งเป็นเขื่อนกันตลิ่งส่งผลให้ประชาชนขาด รายได้เนื่องจากไม่สามารถทำเกษตรริมน้ำได้อีก

Picture credit : the isaan record
“ เขาเอาหินก้อนใหญ่มาทิ้งๆ ริมแม่น้ำ
ทำให้บริเวณตรงนั้นมันหายไปเลย”
ชาญณรงค์ วงศ์ลา กลุ่มฮักเชียงคานซึ่งติดตามสถานการณ์การสร้างเขื่อนกันตลิ่ง ริมแม่น้ำโขงในจังหวัดเลยให้ข้อมูลว่า การสร้างเขื่อนกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงในจังหวัดเลย อาจกระทบต่อระบบนิเวศริมน้ำโดยเฉพาะ ‘หญ้าหวีดเมืองเลย’ (C.loeiensis) ซึ่งเป็นพืชที่พบได้เฉพาะลุ่มน้ำโขงแถบจังหวัดเลยที่เดียวในโลกที่จะสูญหายไป หากเกิดการสร้างเขื่อนกันตลิ่งขึ้น

หญ้าหวีดเมืองเลย Picture credit : ชาญชัย ดาจันทร์
แม้จะมีการคัดค้านการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนกันตลิ่งทำให้โครงการหยุดชะงัก แต่ในบางพื้นที่ ริมแม่น้ำโขงในจังหวัดเลยมีการดำเนินโครงการสร้างเขื่อนกันตลิ่งไปแล้วบางส่วน เช่น ในเขตเทศบาลตำบลเชียงคาน ส่งผลให้หญ้าหวีดเมืองเลยหายไปบางส่วน นอกจากนี้ยังกระทบ ไปยังระบบนิเวศบริการอย่าง ‘ไส้เดือนแม่น้ำโขง’ ซึ่งเขาให้ข้อมูลว่า ไม่พบเห็นมาหลายปี หลังการสร้างเขื่อนกันตลิ่ง
ทั้งนี้การสร้างกำแพงกันคลื่นริมชายฝั่งของประเทศไทย
ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนและนักสิ่งแวดล้อมเนื่องจากมีการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อเลี่ยงการประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ซึ่งต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีสาระสำคัญกำหนดให้การก่อสร้างหรือขยายสิ่งก่อสร้างบริเวณหรือในทะเล ประกอบด้วย รอดักทราย เขื่อนกันทรายและคลื่น รอบังคับกระแสน้ำ แนวเขื่อนกันคลื่นนอกฝั่งทะเล และ กำแพงติดแนวชายฝั่งทะเล ทุกขนาด ต้องจัดทำ EIA โดยประกาศในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2566 แต่จากข้อมูลของผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติชี้ว่า ในส่วนของโครงการสร้างเขื่อนกันตลิ่งริมแม่น้ำยังไม่พบการทำ EIA


โกวิทย์กล่าวว่า การออกแบบเขื่อนป้องกันตลิ่งส่วนใหญ่เป็นแบบ Typical หรือแบบมาตรฐานคือ “สร้างที่นี่ได้ก็ต้องเอาไปสร้างที่อื่นได้” โดยไม่ได้มีการสอบถามความต้องการหรือศึกษาบริบทวิถีชีวิตของแต่ละชุมชนอย่างลึกซึ้ง
เขื่อนมันออกแบบโดยที่ไม่ได้ถามชุมชน การทำเวทีภาคประชาสังคม
ไม่ได้ทำอย่างกว้างขวาง อาจจะรู้จากหน่วยงานภาครัฐเพียงอย่างเดียว
ในการพูดคุยกัน แต่ไม่มาดูพื้นที่ว่ามันมีวิถีชีวิตการใช้ประโยชน์พื้นที่นี้ยังไง
วัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน เขาทำอะไรกันบ้าง
เขามีประเพณีอะไรบ้างที่ทำอยู่ริมแม่น้ำโขง
ดังนั้นแบบพวกนี้ที่ออกมามันจะเป็นแบบที่มาจากส่วนกลาง
เขามองว่า การขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน ส่งผลให้แบบของเขื่อนป้องกันตลิ่งที่ออกมา เช่น เขื่อนป้องกันตลิ่งที่เป็นคอนกรีต หรือเขื่อนหินทิ้งที่มีแนวทางเดินด้านบนไม่ได้คำนึงถึงการเข้าถึงพื้นที่ริมตลิ่งของชาวบ้าน ที่ทำการเกษตรริมน้ำโขง หรือการเลี้ยงปลาในกระชัง

เขื่อนป้องกันตลิ่งที่ก่อสร้างแล้ว
ลักษณะเป็นเขื่อนหินทิ้ง โครงสร้างคสล.

เขื่อนป้องกันตลิ่ง ใน อ.ท่าอุเทน
ออกแบบเป็นที่นั่งชมประเพณีไหลเรือไฟ ยกสูงจากตลิ่ง 2.50 เมตร

1 การออกแบบเขื่อนป้องกันตลิ่งที่สอดคล้องกับบริบทและวิถีชีวิต
ตัวอย่างเช่น การออกแบบเป็นขั้นบันไดมีกระบะสำหรับเติมดิน หรือตะกอนเพื่อการเพาะปลูก ซึ่งแม้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง และออกแบบ แต่จะทำให้ชุมชนยังคงใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้
โดยโกวิทย์เปรียบเทียบการใช้แบบมาตรฐานเพียงแบบเดียว ในการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงทั้งหมดใน 8 จังหวัด ริมโขงว่า เหมือนการมีเสื้อแบบเดียว ไซส์เดียวให้หลายๆ คนใส่ ซึ่งบางคนอาจจะใส่ไม่ได้หรืออยากเลือกใส่เสื้อที่ชอบและมีความสุข
3 แก้ไขปัญหาการดูดทรายและการควบคุมเขื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน
ปัญหาการดูดทรายควรมีการป้องกันให้หมดไป เพราะส่งผลให้ตลิ่งพังทลาย อย่างรุนแรง รัฐบาลไทยควรประสานงานกับประเทศจีน สปป.ลาว และเพื่อนบ้านอื่นๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับการระเบิดเกาะแก่งกลางแม่น้ำโขง และการควบคุมเขื่อน ซึ่งทำให้กระแสน้ำไหลรุนแรงและระดับน้ำผันผวนไม่เป็นไปตามฤดูกาล
คนใส่แล้วมีไซส์เดียวสีเดียวด้วย คนนั้นอาจจะ ใส่ไซส์นี้ไม่ได้
หรือคนนั้นอาจจะไม่ชอบเสื้อสีนี้ก็ได้ ดังนั้น จะต้องศึกษาก่อนว่า
คนแรกเนี่ยเขาตัวขนาดไหน รอบอกเท่าไหร่ ความสูง ความยาวของตัว
เท่าไหร่หรือเขาชอบสีอะไรไหม ถ้าเขาใส่แล้วมีความสุข
ก็ไม่สร้างความรู้สึกแย่ๆให้กับเขาที่จะใส่เสื้อตัวนี้ ”
2การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ให้เวลากับการศึกษาโครงการ โดยเฉพาะกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ให้มากและนานขึ้น จะทำให้โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งมีการออกแบบที่ “เข้าใจ” และ “สอดคล้อง” กับบริบทมากยิ่งขึ้น ซึ่งการจัดโฟกัสกรุ๊ปย่อยและการเข้าถึงชาวบ้าน โดยตรงจะทำให้ได้ข้อมูลเชิงคุณภาพที่แท้จริง
4ตั้งหน่วยงานกลางและยกระดับ เป็นวาระแห่งชาติ
ควรมีหน่วยงานกลางที่ประกอบด้วยนักวิชาการ ชาวบ้าน และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่รับมือและป้องกันผลกระทบจากการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง เพื่อให้เกิด การป้องกันปัญหา และทำงานเชิงรุก


ป้องกันการกัดเซาะและ พังทลายของตลิ่ง

รักษาแผ่นดินและอธิปไตย

ประโยชน์ด้านสันทนาการจัดกิจกรรม ประเพณี ส่งเสริม การท่องเที่ยว

พื้นที่พักผ่อน

ผลกระทบต่อระบบนิเวศ

การไหลของน้ำไม่เป็นไป ตามธรรมชาติ

วิถีชีวิตชุมชนริมโขง

เกษตรริมโขง เลี้ยงปลาในกระชัง

ความมั่นคงทางอาหาร ของชุมชนริมโขง

ภูมิทัศน์พื้นถิ่น
การจัดทำรายงานประเมินตัวเลขงบประมาณที่อาจต้องใช้ใน การบำรุงรักษาเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งโขงทั้งหมดเพื่อพิจารณา ทิศทางการจัดการกับโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งอื่นๆ ในอนาคต
ควรมีการประสานการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อแม่น้ำโขงเพื่อ การวางแผนอย่างเป็นระบบ เช่น แผนการให้สัมปทานท่าดูดทราย แผนการดำเนินการประสานความร่วมมือนานาชาติ
เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมแม่น้ำโขงให้คงสภาพดี
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเหล่านี้อาจลอยหายไปกับสายน้ำหากไร้ซึ่งเสียงสะท้อนที่ ‘ดังมากพอ’

สำรวจข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Public Data Dashboard
- ฐานข้อมูล ภาษีไปไหน? ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ
- เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ชาญณรงค์ วงศลา
- ชาญณรงค์ วงศลา กลุ่มฮักเชียงคาน
- นริศรา พูนศิริวลัย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านปากอิงใต้ หมู่ 16
- มนัสชัย ใจแดง ผู้ใหญ่บ้านบ้านสบกก จังหวัดเชียงราย
- เตียม เงินท็อก ชาวบ้านบ้านสบกก จังหวัดเชียงราย
- สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน): GISTDA
- คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง: Mekong River Commission (MRC)
- ผศ. อมเรศ บกสุวรรณ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลธัญบุรี หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัย “การสำรวจตลิ่งแม่น้ำโขงและความพึงพอใจต่อเขื่อนป้องกันตลิ่งและเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง”
- โกวิทย์ วาปีศิลป์ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัย “ผลกระทบการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งต่อภูมิทัศน์พื้นถิ่น ริมแม่น้ำโขง: กรณีศึกษาชุมชนท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม”
- งานวิจัย Sharp decline in surface water resources for agriculture and fisheries in the Lower Mekong Basin over 2000-2020
- ทิวทัศน์แม่น้ำโขงและเขื่อนป้องกันตลิ่ง: ธีรพัฒน์ แก้วชำนาญ The101.world, กอบบุญ บูรโชควิวัฒน์ The101.world



